ปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของแนวปะการังขึ้นกับอิทธิพลของกิจกรรมต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในบริเวณแนวปะการัง
ซึ่งถ้าแนวปะการังถูกทำลายจนเสื่อมโทรมความสมดุลของระบบนิเวศก็จะถูกทำลายไปด้วย
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรประมงในบริเวณแนวปะการังและบริเวณใกล้เคียง และทำให้เกิดการพังทลายของชายหาดที่สวยงาม
ส่งผลต่อกิจกรรมการท่องเที่ยวได้
สาเหตุและแนวโน้มของปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของแนวปะการัง มีดังนี้
6.1 ปัญหาที่เกิดตามธรรมชาติ
· การเกิดดาวหนามระบาด
นักวิทยาศาสตร์ได้ประเมินไว้ว่า
หากมีดาวหนามเกิน 10 ตัว
ในพื้นที่ 1 เฮกแตร์ (ประมาณ 10,000 ตาราง-เมตร) ให้ถือว่าอยู่ในระดับระบาด ถ้ามากกว่า 30 ตัว
ถือว่าระบาดรุนแรงมาก ดังนั้นถ้าหากเรา ดำน้ำวนเวียนอยู่ในพื้นที่ขนาดนั้น
แล้วพบว่ามีดาวหนามมากกว่า 10 ตัว ก็เห็นสมควรที่จะกำจัดดาวหนาม ทั้งนี้ถ้าอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ
ก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขอความเห็น และต้องได้รับอนุญาตก่อน
วีธีการกำจัดดาวหนาม ทำง่ายๆ โดยใช้มีดคว้านตรงกลางลำตัวให้อวัยวะภายในกระจายออกมา
อย่าผ่ากลางเป็นสองท่อน เพราะดาวทะเลสามารถงอกแขนใหม่กลายเป็นสองตัวได้
หรืออาจใช้วีธีเก็บขึ้นบนเรือแล้วเอาไปทิ้งบนฝั่งก็ได้
· การเกิดปะการังฟอกขาว
· การเกิดปะการังฟอกขาว
การฟอกขาวของปะการังสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้นกับปะการัง
ปะการังที่มีการฟอกขาวนั้น ปะการังจะมีสีขาวหรือสีจาง
ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลี่ออกไปอย่างกะทันหัน
หรือจะเกิดขึ้นเมื่อสาหร่ายขับเม็ดสีออกไป การฟอกขาวเป็นการตอบสนองทางกายภาพ
ของสาหร่ายและปะการังต่อแรงกดดันของสภาพแวดล้อมในธรรมชาติ หรือการรบกวนของมนุษย์การฟอกขาวนี้จะพบหลังจากที่อุณหภูมิของน้ำสูงมากผิดปกติ
อย่างไรก็ตามปะการังสามารถมีสีขาวได้เหมือนกันถ้าถูกดาวหนามกิน
เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากถูกกิน
ก้อนปะการังก็จะถูกปกคลุมด้วยสาหร่าย
ปะการังที่ฟอกขาวนั้นอาจจะสร้างซูแซนเทลลี่ขึ้นมาใหม่โดยการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
หรือโดยการจับสาหร่ายซูแซนเทลลี่จากมวลน้ำเมื่อสภาพแวดล้อมกลับสู่สภาวะปกติ
· คลื่นสึนามิ
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทางฝั่งทะเลอันดามันเมื่อปลายปี พ.ศ.2547 ความรุนแรงของคลื่นสึนามิทำให้ปะการังเสียหายในหลายรูปแบบ เช่น พลิกคว่ำ แตกหัก ทรายทับถม จากการประเมินความเสียหายอย่างหยาบๆ โดยนักวิชาการและนักดำน้ำอาสาสมัคร สรุปได้ว่ามีแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายในระดับรุนแรง (หมายถึง แนวปะการังในแหล่งนั้นๆ แตกหักพลิกคว่ำหรือเสียหายในรูปแบบต่างๆ มากกว่า 50%) กินพื้นที่ประมาณ 13% ของแนวปะการังทั้งหมดทางฝั่งทะเลอันดามัน บริเวณที่เสียหายมาก มักเป็นจุดที่อยู่ตามหัวเกาะและร่องน้ำระหว่างเกาะ
· พายุพัดทำลาย
เหตุการณ์พายุพัดทำลายแนวปะการังในน่านน้ำไทยเกิดขึ้นหลายครั้ง คือ
ในปี พ.ศ.2529 ทางฝั่งทะเลอันดามันเกิดคลื่นพายุลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่รุนแรงมาก
และทางฝั่งอ่าวไทยเกิดพายุเกย์และพายุลินดาในปี พ.ศ.2532 และ
2540 ตามลำดับ
ผลของคลื่นพายุก่อให้เกิดความเสียหายในแนวปะการังเป็นบริเวณกว้าง
6.2 ปัญหาจากมนุษย์
· การพัฒนาที่ดินบริเวณใกล้เคียงชายฝั่ง
การก่อสร้างที่ยื่นล้ำลงไปในชายหาด
การพัฒนาที่ดินบริเวณใกล้เคียงชายฝั่ง
การก่อสร้างที่ยื่นล้ำลงไปในชายหาด ทำให้ทรายถูกพาเคลื่อนไป
อาจไปทับถมปะการังได้ หรือก่อสร้างโดยเปิดหน้าดินออกทำให้เกิดการชะตะกอนลงไปในน้ำไปคลุมปะการัง
ตายได้ การทิ้งของเสียและสิ่งปฏิกูลลงในบริเวณปะการัง
ก็ทำให้เสียสมดุลของระบบนิเวศ เช่น สาหร่ายจะเกิดมากขึ้นปกคลุมปะการังให้ตายหมด
เมื่อมีน้ำเสียทิ้งลงไป เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ
· การปล่อยน้ำเสีย (Sewage pollution) ลงทะเล
น้ำเสียนั้นจะประกอบด้วยสารอาหารจำนวนมาก เช่น ไนเตรท
และฟอสเฟต การเพิ่มขึ้นของสารอาหารในน้ำทำให้สาหร่ายสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
สาหร่ายแข่งขันแย่งพื้นที่กับปะการัง
ดังนั้นบางครั้งสาหร่ายเติบโตครอบคลุมก้อนปะการัง ทำให้ปะการังตาย
· การทำเหมืองแร่บริเวณใกล้เคียงแนวปะการัง
ไม่ว่าบนบกหรือในทะเล
น้ำล้างแร่นั้นมีตะกอนมากจะทำให้ปะการังตายได้
· การทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง
ขยะ ได้แก่
พลาสติกและโลหะนั้นอาจจะถูกโยนลงในทะเล สัตว์ในทะเลอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าขยะเหล่านี้เป็นอาหารของมัน
และพยายามกินอาหารเหล่านี้ บางครั้งสัตว์ก็เข้าไปติดอยู่ในขยะ
เช่น พลาสติกที่ทิ้งไว้บริเวณที่ไปวางอวน แล้วพลาสติกพันปลายุ่งเหยิงจนปลาไม่สามารถดินหลุดออกมาได้
ทำให้มันบาดเจ็บหรือตายในที่สุด
· คราบน้ำมันและน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
เมื่อเกิดน้ำมันรั่วครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง
ก็จะฆ่าสัตว์น้ำและเกิดการปนเปื้อนในตะกอนและน้ำบริเวณรอบ ๆ
คราบน้ำมันก็จะติดอยู่บนก้อนปะการังที่โผล่พ้นน้ำขณะน้ำลง
ทำให้ปะการังและสัตว์อื่น ๆหายใจไม่ได้ ส่วนน้ำเสียจากอุตสาหกรรมนั้นมาจากโรงงานที่ผลิตขึ้นเพื่อมนุษย์
เช่น สารเคมีที่ใช้ฆ่าศัตรูพืช ซึ่งถ้าหากล้างลงสู่ทะเลก็จะทำลายระบบนิเวศในทะเล
· การทำลายหน้าดิน
การเพิ่มขึ้นของดินตะกอนนั้นมาจากการใช้ประโยชน์ที่ดิน
จากการถากถางพื้นที่ป่าทำให้หน้าดินโผล่นั้น ในช่วงที่ฝนตกหนัก
ดินจะถูกชะล้างลงสู่ทะเล ดินตะกอนก็จะไปปกคลุมสัตว์ที่เกาะอยู่กับที่เช่น
ปะการัง และฟองน้ำ ทำให้สัตว์เหล่านี้หายใจไม่ออก และถ้าหากถากถางดินเพื่อใช้ในการเกษตรกรรม
น้ำที่ไหลลงสู่แนวปะการังก็จะประกอบด้วยสารเคมี เช่น ยาฆ่าหญ้า
และปุ๋ยหรือสารอาหารอีกด้วย
· การทำประมงมากเกินกำลังและการใช้เครื่องมือแบบทำลายล้าง
การทำประมงมากเกินกำลัง
เกิดเมื่อมีการจับสัตว์ที่ต้องการจำนวนมากเกินไป ออกจากแนวปะการัง
ทำให้ปลาตัวเต็มวัยที่เหลืออยู่มีไม่เพียงพอในการสืบพันธุ์ และคงขนาดของประชากรไว้
สัตว์ชนิดนั้นก็จะกลายเป็นสัตว์ที่หายากหรือกำลังสูญพันธุ์ การนำอุปกรณ์ทำประมง เช่น ตาข่ายไนลอนมาใช้
เป็นการเพิ่มจำนวนสัตว์ที่จับได้มากขึ้นและยังทำให้เกิดการทำประมงมากเกินกำลังอีกด้วย
ส่วนการทำประมงโดยใช้เครื่องมือแบบทำลายล้างเช่น การวางระเบิด
และวางยาเบื่อปลานั้นเป็นการฆ่าสัตว์แบบไม่มีการเลือก การใช้ระเบิด
นั้นจะทำลายโครงสร้างแนวปะการัง
ซึ่งทำให้สูญเสียพื้นที่อาศัยสำหรับสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแนวปะการัง
และนำไปสู่การทำประมงเกินกำลัง
· การเก็บปะการัง
บางประเทศมีการสะสมปะการังเพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง
นอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์ปะการังเป็นของที่ระลึกและตกแต่งในตู้ปลา
การนำก้อนปะการังออกจากแนวปะการังนั้นมีความสำคัญ ทั้งนี้เนื่องจากชีวิตสัตว์จำนวนมากขึ้นอยู่กับปะการังทั้งในเรื่องของอาหารและที่อยู่อาศัย นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของขนาดประชากรของมนุษย์มีผลกระทบบางประการแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงก็ตาม
· ปัญหาจากการท่องเที่ยวในแนวปะการัง
การพัฒนาการท่องเที่ยวก็สามารถกลายเป็นอันตรายขนาดใหญ่สำหรับแนวปะการังได้เช่นกัน
โรงแรม หรือรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่อยู่บนฝั่งใกล้กับแนวปะการังนั้น
สามารถทำลายแนวปะการังได้
เนื่องจากน้ำเสียที่เป็นอินทรีย์สารนั้นอาจปล่อยลงบนแนวปะการัง
เหตุการณ์เช่นนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการบำบัดน้ำเสียและปล่อยลงที่ไกลจากแนวปะการัง
การทำลายอื่น ๆ นั้นเกิดจากการไม่มีประสบการณ์
หรือการดำน้ำอย่างไม่ระมัดระวัง และการทอดสมอเรือ ซึ่งทำให้ปะการังแตกหัก
และในบางครั้ง
ทำให้เกิดการทำลายสัตว์จำนวนมากในแนวปะการังเพื่อนำมาทำเป็นของที่ระลึกขายนักท่องเที่ยว
· การพัฒนาแนวชายฝั่ง
เมื่อมีประชากรเข้ามาใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น
ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวชายฝั่งมากขึ้นด้วย มีการนำเอากิจกรรม และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
เข้ามาในพื้นที่ชายฝั่ง เช่น การใช้พื้นที่เพื่ออุตสาหกรรม สร้างที่อยู่อาศัย
สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สนามบิน การก่อสร้างท่าเรือ การขุดรอก และอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งกิจกกรมเหล่านี้จะไปรบกวนการไหลเวียนของระบบน้ำ
ทำให้รูปแบบการทับถมของตะกอนดินเปลี่ยนแปลงไปอาจเกิดตะกอนทับถมในแนวปะการังเพิ่มมากขึ้นจนทำให้ปะการังตายในที่สุด
·
การเดินเหยียบย่ำ พลิกปะการัง
ชาวประมงในหลายท้องที่ยังหากินโดยการค้นหา
จับ
สัตว์น้ำบางประเภทที่หลบซ่อนอยู่ตามแนวปะการังน้ำตื้นหรือแนวปะการังที่โผล่พ้นน้ำเมื่อน้ำลง สัตว์น้ำดังกล่าว เช่น
หมึกยักษ์ ปลิงทะเล หอยสวยงาม ฯลฯ การรื้อ
พลิกหินปะการังให้หงายขึ้นก่อให้เกิดความเสียหายกับปะการังโดยตรง
และยังทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ ที่ขึ้นเคลือบอยู่ใต้หัวปะการัง เช่น ฟองน้ำ
เพรียงหัวหอม ไบรโอซัว ฯลฯ ซึ่งชอบขึ้นอยู่ในที่กำบังแดด ต้องตายไปเพราะได้ถูกแดดแผดเผา
ซึ่งสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้ก็มีความสำคัญในห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ
ปะการังถ้าถูกทำลายจะต้องใช่การฟื้นตัวนานเท่าใด?
นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาอัตราการเติบโตของปะการัง
โดยใช้วิธีการหลายรูปแบบ ทั้งการวัดโดยตรง การย้อมสี รวมไปถึงการใช้กัมมันตรังสี
ซึ่งทำให้วัดอัตราการเติบโตของปะการังแต่ละชนิดได้ โดยทั่วๆ
ไปปะการังแผ่นและปะการังกิ่งจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างเร็วกว่าอย่างอื่น
อาทิ ปะการังเขากวางบางชนิดจะเจริญเติบโตเฉลี่ยได้กว่า 10
เซนติเมตรต่อปี
ในขณะที่ปะการังก้อนอัตราเติบโตเฉลี่ยจะมีเพียงประมาณ 1 - 2 เซนติเมตรต่อปีเท่านั้น
ดังนั้นไม่ใช้เรื่องง่ายที่ปะการังถูกทำลายแล้วจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
No comments:
Post a Comment